A.C.SR. BAND 1986

กลุ่มวงโยธวาทิตของโรงเรียน อัสสัมชัญ สมุทรปราการ (สำโรง) รุ่นปี 1986

อยากให้ทุกคนรู้ โดย : Flute 17/01/2009


จากนิตยสาร หนึ่งเดียว ปี 1986 เขียนโดย : Flute     ani41811

หนึ่งเดียว'86 เรื่�ง�ยากให้ทุกคนรู้ โดย Flute หน้า1             หนึ่งเดียว'86 เรื่�ง�ยากให้ทุกคนรู้ โดย Flute หน้า2             หนึ่งเดียว'86 เรื่�ง�ยากให้ทุกคนรู้ โดย Flute หน้า3

(รูปล้างรองเท้าหลังแข่งเสร็จ อยู่หน้า 3 นะ) 

 

อ้อ……เจ้าของนามปากกา Flute ช่วยรายงานตัวด้วยคร๊าบบบ……

 

เราเข้าวงได้ตอนอยู่ ป.4 หรือ ป.5 เนี่ยแหละ ความจริงเราก็ไม่อยากเล่นดนตรีหรอก แต่เล่นเพราะทนเพื่อนชวนไม่ได้ ตัวเราเองก็ชอบฟังเพลงด้วย เราก็เลยมาสมัครเล่น ตอนแรกก็มานั่งฟังรุ่นพี่เล่นกัน เกะกะมาก เสียงที่เล่นก็ดังมากด้วย ยืนอยู่หน้าโรงยังได้ยินเลย รุ่นน้องเองยังแทบไม่ได้จับเครื่องเลย ม.ประทิน จึงกำหนดเวลาให้รุ่นน้องซ้อมวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ แล้วรุ่นพี่ซ้อมวัน อังคาร กับ พฤหัส แต่ว่าเราพยายามมาซ้อมทุกวันเพราะอยากเป็นเร็วๆ เวลามีงานรุ่นพี่ก็ชอบให้เราขนเครื่องให้ รุ่นพี่ไม่ค่อยทำอะไร ม.ประทินบอกว่าพวกนี้เล่นได้ไม่กี่คน ม.ไม่ค่อยชอบพวกนี้เลยและรุ่นพี่ก็ไม่ค่อยชอบ ม.ประทิน ด้วย

 

ไม่นานรุ่นพี่ที่อยู่ ม.3 ก็ต้องออกเพราะเขาต้องเตรียมตัวไปสอบต่อที่อื่น ทำให้รุ่นน้องมีโอกาสใช้เครื่องมากขึ้น เราก็ได้เล่นฮอร์น กับเพื่อนอีก 3 คน เราเล่นฮอร์นได้ไม่ดีเท่าไร จึงเปลี่ยนมาเล่นฟลุท ตอนั้นการซ้อมเพลงเป็นแบบที่ว่า ม.ประทินแจกโน๊ตให้ไปท่องกันเอง แล้วจึงนัดมาซ้อมรวมวง บางเพลงใช้เวลาเป็นเดือน

 

ม.ประทินไม่ชอบการแข่งขัน ม.เองอยากให้เล่นคอนเสิร์ทมากกว่าเพราะพวกเราเดินไม่ค่อยดี ต่อมา ม.ประทินไม่สบาย ไม่ค่อยได้มาสอน ช่วงนั้น ม.ปรีชาได้ไปขอร้องพี่ต๊อก ให้มาสอนเดิน วันแรกที่พี่ต๊อกมาฝนก็ตกพวกเราจึงซ้อมกันใต้อาคารอัสสัมชัญ พี่ต๊อกสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหัน สอนให้ตบเท้า แล้วก็บอกว่าปิดเทอมจะเริ่มสอนใหม่ พอปิดเทอมพวกเราก็มากันไม่ถึงครึ่งวงพี่ต๊อกก็ไม่ว่าอะไร ตอนนั้นพี่ต๊อกพูดจาสุภาพมากเลย พอเปิดเทอมพี่ต๊อกก็ให้ซ้อมเพลง และก็ช่วยปรับเพลง พี่ต๊อกพยายามหาเพลงใหม่ๆ มาให้เล่น พวกผมเริ่มเล่นเพลงได้ดีขึ้น จาก 1 เพลง ใช้เวลาเป็นเดือนๆ เหลือเพียง 1 เพลง ใช้เวลา 1 สัปดาห์ จากที่พี่ต๊อกอยู่ทำให้เรารุ้อะไรมากมายเช่นการตั้งเสียง การเล่นเป็นคอร์ดระยะ 2-3 เดือน วงของเราดีขึ้นมาก พี่ต๊อกพยายามกระตุ้นให้พวกเราพัฒนาตัวเอง จนกระทั่งวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ม.ปรีชา ประกาศว่าวงของเราจะลงแข่งวงโยธวาทิตของเขตการศึกษา 1 ตั้งแต่วันนั้น ม.ปรีชาก็พยายามติดต่อวิทยากรมาฝึกสอนพวกเรา พวกพี่ที่มาฝึกสอนก็มี พี่ประณต พี่เขาสอนพวกที่เล่นเครื่องทองเหลือง และพี่แขาก็ช่วยพี่ต๊อกคุมวงด้วย พี่สมนึกก็ช่วยสอนพวกกลอง พี่ชุมพล ช่วยสอน คาริเนต พี่สุรสิทธิ์ เป็นทรัมเปตมือหนึ่งของมงฟอร์ต และเป็นหัวหน้าวงด้วยพี่เขามีน้ำใจมาสอนทรัมเปตของวงเรา พี่วีรยุทธก็มีน้ำใจ มาช่วยพี่ต๊อกสอนเดินและแปรขบวน พี่ประโยชน์สอน ซูซ่า (Sousa) กับดรัมเมเยอร์ พี่ถาวร สอนวิธีดูแลครื่อง อาจารย์พลากรช่วยปรับเพลงและสอนเรื่องเกี่ยวกับดนตรีด้วย อาจารย์ฑีฆา เป็นอาจารย์มาจากกรมตำรวจ อาจารย์นำเพลงไทยเดิมและเรียบเรียงเสียงประสานเพลงพระราชนิพนธ์แสงเทียนให้ใหม่ อาจารย์ใจดีมาก อาจารย์สอนให้พวกกลองรู้จักตีกลองทอมกับกลองทิมพานีที่อาจารย์นำมาให้ตอนที่เข้าค่าย เราซ้อมแปรขบวนและพี่ประโยชน์ก็ฝึกดรัมเมเยอร์ ตอนนี้ดรัมเมเยอร์เองเราทำงานหนักกว่าเพื่อนเลย พี่ประโยชน์ยังเหลา คฑาให้ด้วย ตอนไปศรีราชา งานกีฬาเครือ เราเล่นเต็มที่เลย เราพยายามทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยเราก็แสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ

 

ระยะหลังเรามีปัญหาเรื่องชุดบ่อยๆ กับปัญหาทางเขตการศึกษา แต่เราก็ยังสู้ เวลาที่เราซ้อมแปรขบวน ถ้าเราทำไม่ดีจนพี่ต๊อกชักอารมณ์ไม่ดี (ไม่ทราบว่าแกล้งหรือไม่) ขาก็จะว่าเรารุนแรงมาก บางครั้งพี่ต๊อกก็เดินออกจากโรงเรียนไป เราก็ยังซ้อมต่อ บางครั้งพี่ต๊อกได้ยินเสียงเรายังซ้อมอยู่พี่ต๊อกก็เดินกลับเข้ามา แล้วพี่ต๊อกก็บอกว่า “บางครั้งเรายังเด็กเกินไป ถ้าไม่ว่าอะไรก็จะไม่ทำบางครั้งก็โกรธจริงๆ” และก็หลายครั้งที่พี่ต๊อกพูดว่า “ศรีบุญยา ไม่ใช่วงที่ไม่ฉลาด เราไม่เคยแพ้ เราไม่มีประสบการณ์และเราก็ไม่มีพื้นฐานมาก่อนด้วย” ศรีบุญยา มีอิทธิพลมากเลยเขาเลื่อนเวลาแข่งได้ เพราะตั้งเสียงง่ายแต่วงที่แข่งตอนเที่ยงโชคร้ายมาก เพราะเสียงจะเพี้ยนมากแทบจะตั้งเสียงไม่ได้เลย

 

ก่อนวันกีฬาสี 1 วัน เราก็ซ้อมกันหนักมากเพราะแปรขบวน บางส่วนก็เพิ่งเริ่มวันนั้นเอง ดังนั้นวันกีฬาสีบางรูปออกมาไม่ดีเลย ใกล้แข่ง 2-3 วัน เราไม่ได้เรียนเลย เราซ้อมตลอด จำได้ว่าเราไม่ได้เรียนตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. วันแรกเราซ้อมแปรขบวน แต่เราไม่ได้เล่นเพลงเพราะเพื่อนเขากำลังเรียนกันอยู่ มันทรมานมาก นาวีไม่สบาย ไม่มาโรงเรียน ณัฐพงษ์ก็โทรไปบอกให้มาดูเพื่อนซ้อม ตอนเย็นเราก็มาซ้อมเพลงที่สวนพักผ่อนในหมู่บ้านทิพวัล เพลงไทยเดิมเราเพิ่งเริ่มแจกโน๊ต วันนี้ แล้วเราก็เล่นเลย แต่เราก็เล่นได้วันต่อมา เราก็ไปซ้อมเพลงที่สวนพักผ่อนอีก อาจารย์พลากรอุตส่าห์มาจากเชียงใหม่เพื่อมาปรับเพลงให้ และวันนั้นเราก็เพิ่งเริ่มอะไรหลายอย่าง เช่น จัดแถวเดินเข้านั่งบรรเลง ปรับเพลงไทยเดิม แต่เราก็ยังมั่นใจมาก

 

วันแข่งไม่ทราบว่าโชคอำนวยหรือฟ้าลิขิต จึงบันดาลให้ฝนหลั่งลงมา ตอนแรกเข้าใจว่าการแข่งขันคงต้องเลื่อนออกไป แต่ไม่ การแข่งขันยังคงดำเนินอยู่ แต่เลื่อนเวลาไป ตลอดวันที่แข่งขันแดดไม่มีเลย เราพอถึงสนามเราก็เริ่มตั้งเสียงและวอร์มปาก อากาศเย็นมากจนเป่าแทบไม่ออก แต่พวกเราก็พยายามสู้วงแรกที่แสดงคือศรีบุญยา เขาเล่นแย่กว่าที่เราคิดมาก เราก็พยายามเล่นให้ดีที่สุด ตอนแปรขบวนเราย่ำโคลนแล้วทำให้เดินอืดอาด เราเลยเตะรองเท้าทิ้ง ตอนแล่นเสร็จเราก็เลยต้องวิ่งไปเก็บรองเท้ากัน แต่ภาพที่เห็นตอนเล่นอยู่คือคนดูให้กำลังใจเรามากเลย ขนาดธนโชติ (หัวหน้าวง) Solo เดี่ยวมีคนกุมมือเอาใจช่วยด้วย ตอนที่ไปล้างรองเท้าพวกเราก็ถูกแซวนิดหน่อย บางคนอย่างเช่นนรินทร์หารองเท้าไม่เจอ แต่เขาก็ยังยิ้ม เพราะเขาถูกคนที่มาดูรุมถ่ายรูป ส่วนดรัมเมเยอร์ก็ให้ลายเซ็นกับผู้หญิงไปหลายคน น่าอิจฉา!

 

วงที่แข่งมี 4 วง ประกอบด้วย ศรีบุญยานนท์ ปากเกร็ด สวนกุหลาบ และอัสสัมชัญ สำโรง วันนั้นฝนตกการตั้งเสียงจึงเป็นปัญหา ทุกวงที่เหลือก็เล่นได้ดี แต่เราก็ไม่กลัว เพราะรู้สึกว่าเรามีความมั่นใจสูงมาก แต่พี่ต๊อกบอกว่า ไม่ว่าผลงานจะออกมาอย่างไรเราก็ทำดีที่สุดแล้ว ถือว่าเรามาแสดงความสามารถให้ดู ถ้าแพ้ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะเราก็ไม่ได้เสียอะไร แต่เมื่อก่อนนี้พี่ต๊อกพูดเสมอว่าชัยชนะของมงฟอร์ตแลกด้วยเลือดเนื้อ แต่เราเสียแค่เหงื่อ เรายังจำได้

 

พอทุกวงแสดงเสร็จ เราก็เข้าไปอยู่ในสนามเพื่อฟังผล พอเขาประกาศรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2-3 ไปแล้ว คนดูก็ลุ้นกันใหญ่เลย พอเขาประกาศรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ว่าเป็นเรา คนดูก็ร้องอย่างเศร้าๆ ในขณะที่ศรีบุญานนท์ เฮๆ แล้วก็เดินแถวขึ้นรถกลับตอนที่เรารู้ว่าเราได้ที่ 2 เราก็ยังไม่คิดอะไร พอรู้สึกว่าตัวเราแพ้ เราก็เสียใจมาก และทุกคนก็เสียใจเหมือนกัน ผู้ใหญ่พยายามปลอบพวกเราอยู่นานขนาดอยู่ในรถบางคนก็น้ำตาซึม เราด้วย พอนั่งรถไปได้ครึ่งทาง เราก็หันมาเล่นกัน แล้วเราก็ร้องเพลง เล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับการแข่งให้ฟังกัน

 

ตอนนี้ผมอยากจะขอขอบพระคุณครูหลายๆ ท่าน ที่ว่างจากการสอนวันนั้น ที่ท่านช่วยไปให้กำลังใจ และคุณครูทุกท่านที่ให้กำลังใจแก่พวกเราแม้ท่านไม่ได้ไปชมด้วยตัวเองเพราะท่านติดสอนนักเรียน ท่านก็ยังส่งกำลังใจไปช่วยพวกผม กติกาที่สำคัญการนั่งบรรเลงบังคับให้ใช้เวลา 3 เพลง ให้เวลา 15 นาที เพลงที่ใช้ต้องประกอบด้วย เพลงพระราชนิพนธ์ เพลงไทยเดิม เพลงเลือกตามถนัด การเดินใช้เพลงกราวกีฬา กับเพลงมาร์ชธนาคารธหารไทยเป็นบังคับ ส่วนที่เหลือเป้นเพลงที่เลือกตามถนัด ใช้เวลา 20 นาที เมื่อรวมกับนั่งบรรเลงก็จะได้ 35 นาที เขาทดให้ 3 นาที เป็นไม่น้อยกว่า 32 นาที ถ้าไม่เกิน 38 นาที ถ้าเกิน 1 นาที ถูกตัด…

 

บทความนี้ได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ “หนึ่งเดียว” ช่วงปี พ.ศ. 2530 ผู้เขียนเจ้าของนามปากกา Flute คืออาจารย์เม-อุดมศิลป์ ซึ่งในตอนนั้นเป็นเพียงนักเรียนชั้น ม.3 เท่านั้น หากมีข้อความที่เกิดจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดจากข้อเท็จจริง ณ ขณะนั้น ทางกลุ่มฯ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ครับ

 

ขอบคุณ คุณTon-Pongphun ที่ช่วยเรียงพิมพ์ใหม่ เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

 

46 Responses to “อยากให้ทุกคนรู้ โดย : Flute”

  1. ไอ้เมชัวร์……อิอิอิ….

  2. อ่านแล้วน้ำตาซึมนิดๆ…….ลืมไปนานมาแล้วอ่ะ…….shot ที่พี่ต๊อกเดินจากไปแล้วพวกเรายังคงซ้อมๆๆๆๆๆๆ………ซ้อมต่อไปจนพี่ต๊อกเดินกลับเข้ามา….T _ T”

  3. Ton-Pongphun Says:

    ต้องยกความดีให้ เล็ก-Webmaster เลย พยายามหาหลักฐานทาง
    ประวัติศาสตร์นี้มานานมาก และก็หามาได้ มันน่าจะเป็นงานเขียน
    ในอดีตชิ้นเดียวของพวกเรา โดยมีอาจารย์เม (ตอนเด็กๆ) เป็นผู้รับอาสา

    คิดดูสิ พวกเราตอนนั้นไม่มีใครใส่ใจกระดาษ 3 หน้า นั้น
    เหมือนกับตอนนี้หรอก จริงไม๊??

  4. ตอนนั้นมันคงสะเทือนใจ…………………เลยไม่ได้สนใจ แต่รุ่นพี่อย่างเราไม่ทันได้เห็น หนึ่งเดียวฉบับนั้นมั๊ง เลยเพิ่งได้มาอ่านเต็มๆ ก็วันนี้ และก็ได้ความหลังเก่าๆ เกือบครบ โดยเฉพาะผู้มีอุปการะคุณ แก่วงเรา อาจารย์ต่างๆ และพี่ๆ ที่มาช่วยเรา อาจารย์เม ก็เก็บมาเล่าจนครบ

    ตอนนี้อ่านแล้วคิดตามได้ แต่ทำไม่ได้แล้วว่ะ

  5. เม Says:

    ผมเขียนกั๊บ ช่วยวิจารณ์ด้วยครับ

    เข้าใจว่า มิสจรรยา ซึ่งตอนนั้นเป็นบรรณาธิการของ หนึ่งเดียว เป็นคนกระตุ้นให้เขียนครับ ผมอยู่ในอารมณ์เศร้ามาก กลัวเขียนอะไรบ้าๆ ไปเหมือนกันครับ

  6. เม Says:

    ตอนเขียน ได้คิดวางแผนว่าจะเขียนอย่างไรดี จะระเบิดอารมณ์ออกมาดีไหม เพราะว่าตอนนั้นความรู้สึกมันค่อนข้างรุนแรง แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเขียนเฉพาะข้อเท็จจริงครับ เรื่องอารมณ์ความรู้สึกได้ถูกตัดออกไป น่าเสียดายเหมือนกัน

    ส่วนย่อหน้าสุดท้าย ดูไม่ต่อเนื่อง และดูผิดฝาผิดตัวยังไงไม่รู้ น่าจะถูกเติมเข้าไปทีหลัง เนื่องจากในบทความไม่ได้กล่าวถึงกติกาการแข่งขันเท่าไหร่ครับ

    ตอนนี้ อยากจะตบกระโหลกตัวเองนิดๆ ด้วย ที่ไม่ได้กล่าวถึง มิส มาสเตอร์ ที่มีพระคุณของเราเลยแม้แต่ท่านเดียวครับ

  7. hajimefuruto Says:

    ดีแล้วหละ….มันดูเป็น fact ดีว่ัะ แต่เหมือนเนื้อหาตอนท้ายๆมันจะขาดหายไปนะ มีต้นแบับเก็บไว้หรือเปล่า….ถ้ามีเอามา share หน่อยดิ ^ _ ^”

  8. เม Says:

    อ้อ หลังจากแข่งจบสองสามวัน มีสาวๆ เขียนจดหมายมาหาด้วย ได้รับอยู่หลายฉบับทีเดียว

    แต่เราไม่ได้ติดต่อกลับไปหรอก เพราะใครส่งมา แม่เราแกะอ่านหมดเลยอ่ะ วัยรุ่นเซ็ง

  9. hajimefuruto Says:

    เฮ่ย……ทำไมตรูไม่เห็นได้เรยฟะ…..กรอด…….กรอด…..

  10. acsrband86 Says:

    ขอ………. scan มาเลยเม เราถือว่าสาวๆ พวกนั้นเป็น fan club ของพวกเรา (ตัดใจให้เป็นของกลุ่มไปละกัน ตอนนี้กำลังขาดแคลน อิอิ)
    ช่วยหาให้หน่อยนะ จะเอามาลง ถ้าไม่หวงนะ

  11. เม Says:

    เออ เอาอะไรวะ ต้นฉบับบทความหรือจดหมาย

    ถ้าจดหมายเนี่ยทิ้งไปนานแล้วว่ะ

  12. เม Says:

    ไอ้ยม ทีเมิงไปเที่ยวกะสาวเซนโย เมิงไม่ชวนกรู ไอ้เร็ว

  13. hajimefuruto Says:

    ไอ้ที่บอกให้เอามา share น่ะ บทความโว้ย…..ส่วนที่ไปเที่ยวกะสาวเซ็นโยน่ะ…คนไหน….เมื่อไหร่วะ……แบบว่ามี่หลายสาวมากๆ…..ต่างกรรมต่างวาระ….อิอิอิ ^ _ ^

  14. Ton-Pongphun Says:

    มีแต่พวกนิฉัยม่ายดี…เพื่อนดี..ดี..อย่างเราน่ะ
    หัดเอาอย่างซะมั่ง!!

  15. เอ Says:

    สิ่งที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งเลยนะ คือหลังจากการแข่งครั้งนั้นแล้ว
    วงไม่สามารถหานักดนตรีรุ่นต่อไปมาทดแทนรุ่นเราที่กำลังจะจบได้เลยจริงๆ
    ขนาดก่อนจะแข่ง กว่าจะหานักดนตรีครบ แทบกระอัก ถ้ามีการสนับสนุน
    และการพัฒนานักดนตรีให้สามารถรองรับรุ่นที่จบไปได้นะ เราเชื่อว่ารุ่นต้น
    จะมีโอกาสได้เหยียบสนามศุภฯแน่นอน และวงก็จะมีคุณภาพมากกว่าการแข่งครั้งแรกมาก

    รู้สึกไหมว่า วงโยธวาทิตโรงเรียนอัสสัมชัญ สำโรง ในตอนนั้นมีกันแค่ 41 ชิวิตจริงๆ
    (เฉพาะนักดนตรีนะ) ไมมีใครให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมหรือสมัครเป็นนักดนตรีรุ่นต่อไปเลย
    ไอ้ความรู้สึกนี้แหละที่มันเกิดกับเราก่อนที่จะแข่งเสียอีก มันเป็นความรู้สึกถึงจุดจบของวง
    ในช่วงนั้นเลย หลังแข่งเราจึงรู้สึกสะเทือนใจมากๆ จนไปนั่งร้องไห้กับมิส สินีนาฎอยู่พักใหญ่

  16. OH+ is Awesome Says:

    อ่านแล้วน้ำตาเล็ดครับ ทำไมไม่มีหญิงเขียนจดหมายมาหาบ้างเลยครับ
    !!^_^!! อิจฉาจิงๆคับ

  17. ตอนนั้นมันมีหลายเรื่องน่ะแจ๋น……หลังจากแข่งเสร็จเราก็เจอครูดนตรีห่วยๆคนนึงมารับช่วงต่อ (ใครรับมันเข้ามาเป็นครูฟะ…..จ๊าดง่าว…..) โรงเรียนไม่สนใจสนับสนุนต่อ ส่งเม็ดก๋วยจี๊มาคุมวง พวกเราหลายคนก็อยู่ไม่ได้…..รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย (ขอสงวนนามไอ้เม็ดก๋วยจี๊เม็ดนั้นแล้วกัน…เอ่ยชื่อแล้วแสลง…..แหวะ….แหวะ….แหวะ….)

  18. เอ Says:

    ใครวะ??ถึงได้แสลงขนาดน้าน…………..

  19. ตัวอักษรแรก ปอ ปลา……ไปเดาต่อกันเอง ^ – ^

  20. โอ๊ย…….แค่เอ่ยตัวอักษรแรกก็อยากอ๊อกแร้ว……..อั้วะ……อั้วะ……

  21. Ton-Pongphun Says:

    ถ้าขึ้นต้นด้วย ป. นายคงจะหมายถึงประกิต ซึ่งเป็นตัวเอกใน
    คณะละครลิงชื่อดัง…

    ความจริงแล้ว ตอนที่ท่าน Webmaster เอากระทู้นี้มาลง
    นอกจากความรู้สึกดีใจที่พวกเราจะได้รับประโยชน์ในด้าน
    ของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ซึ่งขาดหายจากพวกเราไป
    นานมากแล้ว

    อีกมุมหนึ่งเราก็เกรงอยู่เหมือนกันว่า ไอ้ความรู้สึกที่ไม่ดี
    ในวันเก่าๆ ของพวกเรา มันจะย้อนกลับมาให้ระบายกัน
    ไม่รู้จักจบ ซึ่งก็รวมถึงตัวเราเองด้วย ความจริงมีอะไรอีก
    เยอะแยะที่อยากจะสาธยาย ซึ่งอาจทำให้บรรยากาศดีๆ
    ใน ณ ที่นี้เสียไป

    ในความรู้สึกของเด็กๆ อย่างเราๆ ที่ถูกรังแกอย่างไม่มีเหตุผล
    หลายกรรม หลายวาระ จากหลายๆ คน และหลายๆ เหตุการณ์
    สำหรับตัวเราเองถึงวันนี้แล้ว เราให้อภัยแล้วล่ะ

    ไม่มีวันนั้น ก็ไม่มีวันนี้ เราอโหสิ….ให้ว่ะ…

  22. เฮ่ยขำๆ ว่ะต้น ตอนนั้นดก๋วยจี๊ก็พยายามทำหน้าที่ครูสอนดนตรี แต่ไม่เก่งในเชิงจิตวิทยาและเชิงดนตรี ไอ้พวกเราตอนนั้นก็ต่อต้านโรงเรียนอยู่แล้ว ไอ้เม็ดก๋วยจี๊นี้เข้ามาก็เรยเหมือนเข้ามารับเคราะห์…….น่าสงสารเหมือนกันนิ…..แต่ช่วยไม่ได้จริงๆอ่ะ…….เป็นครูสอนดนตรีได้ไงฟะ……ทฤษฎีก็แย่…..ปฎิบัติยิ่งแย่ใหญ่…….เอ……เยอะไปป่าวเนี่ย…..

  23. เม Says:

    อย่าจิตตก เพื่อนๆ อย่าจิตตก

    เห็นด้วยกับต้นว่า ไม่มีวันนั้น ไม่มีเราวันนี้ว่ะ

    คิดบวกเข้าไว้

  24. hajimefuruto Says:

    ตอนนี้จิตไม่ตกว่ะหมอ…..แต่มันค่อนข้างวิปเรี้ยวอยู่เล็กน้อย…..55555^ _ ^

  25. เอ Says:

    ความรู้สึกดีและไม่ดีมันอยู่คู่กันเสมอ…………..เล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องขำๆ……..ว่าแต่ตอนที่แพ้ศรีบุญฯตอนนั้นน่าให้ไอ้ยมขึ้นไปเดี่ยวปิคคาโร่โชว์บนหลังคารถแบบเดียวกับที่ศรีบุญฯมันทำ(มันให้เด็กตัวเล็กสุดแบบเจ้านรินทร์ขึ้นไปเดี่ยวคาริเน็ต ถ้าจำไม่ผิด)ตอนที่มันประท้วงผลที่มันแพ้ราชวินิตฯที่ลงแข่งครั้งแรก……ขำดี……

  26. hajimefuruto Says:

    ตอนนั้นสิ ที่เรียกว่าชนะขาด….เด็กราชวินิตรุ่นนั้นมันเก่งว่ะ…..ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกสะใจนะ…..แต่ดีใจที่เด็กๆของเราชนะแล้ว…..^ _ ^ อืม…..ตอนนั้นไปอยู่วัดสุทธิหรือยังหว่า……????? เออ…..น่าจะอยู่วัดสุทธิแล้วนะเพราะจำได้ว่านั่งรถขนเครื่องดนตรีที่ยืมจากวัดสุทธิกลับไปที่ราชวินิต…..ประมาณว่าผ.อ.สนิทกันเลยยืมกันได้…..^ _ ^”

  27. OH+ is Awesome Says:

    ชั่วโมงประวัติศาสตร์จิงๆ บอกตามตรงจำอะไรไม่ได้เร้ย แต่จำได้เลาๆ ว่าเคยไปนอนที่ราชวินิต มีใครบ้างนะ หลวงพี่ช้าง ยม…มีใครอีกว่ะจำไม่ได้
    ใครจำได้มาเฉลยที

  28. hajimefuruto Says:

    น่าจะเป็นช่วงเด็กๆ ที่นั่นเข้าค่ายเก็บตัวมั้ง……..จำได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่

  29. hajimefuruto Says:

    ตอนนั้นน่าจะมีตี๋เล็ก แจ๋น แล้วก็ตุ๋ย โต๋ว หลอด้วยมั้ง แต่บางคนก็ไม่ได้ค้างนะ

  30. Ton-Pongphun Says:

    มีรูปถ่ายพวกเราหลายๆ คน กับน้องๆ ราชวินิตรบางแก้ว
    สมัยตอนประกวดและได้แชมป์วงโยฯ เขต 1 ที่สนามราชนาวี
    บางนา น่าจะราวปลายปี พ.ศ. 2531 ไว้จะเอามาลงเป็นหัวข้อ
    กระทู้ให้ช่วยทบทวนกันอีกที

  31. เอ Says:

    ค้างเพราะเด็กมันน่ารักใช่ไหม นิยม-ตุ้ม…. น้องเก๋ เล่นปิคฯน่ะ…………………….

  32. เฮ่ย…..ไม่ใช่มั้ง…..ตอนนั้นรู้สึกคบกับหนึ่งอยู่ว่ะ จำได้ป่าว…….แล้วไอ้เก๋เนี่ยมันเด็กมั่กๆๆๆๆ เรยนะ……เพิ่งมอหนึ่งเอง…..แต่หลังจากนั้น (หลังจากเก๋มันเลิกเล่นวงโยแล้วอ่ะ ซักมอห้ามั้ง) ก็ยังติดต่อกันมาเรื่อยๆนะ เก๋มันก็มาขอข้อสอบ ขอหนังสือไปสอบเอ็นท์หน่ะ ตอนนั้นป๋มอยู่ปีหนึ่งปีสองเห็นจะได้ แต่ก็ห่างๆกันไป……จำได้ว่าคุยกันล่าสุดเนี่ยซักสิบปีที่แล้วตอนกลับจากอังกิตหมาดๆ เก๋มันน่ารักนะแล้วตอนนั้นรู้สึกอยากมีน้องสาวมากจริงๆ เพราะมีแต่น้องชายว่ะ แต่ไอ้ความที่เข้ามหาลัยเนี่ยแหละ จน……ติดเพื่อน ติดหญิง ติดเหล้า คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองเป็นสำคัญ แถมอยู่รังสิตอีกตังหาก ก็เรยรู้สึกว่าเราทำหน้าที่พี่ชายให้เก๋มันได้ห่วยสุดๆ ไปเรย (พี่ขอโต้ด……เก๋) ล่าสุดเนี่ยเริ่มคิดถึงมันขึ้นมาอีก เรยเข้าไปค้นข้อมูลในเน็ต เผื่อเจอ……..น่าตกใจจริงๆ……ไปเป็นรองประธาน อบจ.ปากน้ำซะแร้ว……..555555 ^ _ ^

  33. ขยายความ น้องหนึ่งที่เป่าเทเนอร์ แซ้กอ่ะ…..

  34. Ton-Pongphun Says:

    ปากก็บอกว่าตั้งใจไปช่วยพี่ณต..ที่ราชวินิตฯ กัน
    ที่แท้ก็…….

  35. มันเป็นชะตากรรมว่ะต้น……55555 ^ _ ^”

  36. เอ Says:

    กระทู้นี้ชักจะขยายความไปไกลแฮะ….. เอาไว้ให้ต้นมันตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก่อน แล้วความลับทั้งหลายในเวลา 3 ปีที่ไปช่วยพี่ณตนะ จะค่อยๆโผล่มาทีละนิดนะนิยมตุ้ม………….

  37. เอ Says:

    ปล. อ่าวนางเงียบมาก นักท่องเที่ยวไปไหนหมดวะ?

  38. คาดว่าไปชื่นชมประทานาธิบดีคนใหม่ เรยยังไม่ได้จองตั๋วเครือ่งบินกลับมาเที่ยวว่ะแจ๋น…… งานโคดสะนาที่นี่ก็เงียบเหมือนกัลลลลล ตอนนี้มีงานแค่สองตัว….โคตะระว่างเรย……T _ T”

  39. hajimefuruto Says:

    เพิ่มเติม……เพิ่งจำได้ว่าเราเข้าไปกันสามปีจริงๆแฮะ แล้วก็เริ่มเฟดๆออกมาตอนพวกเหลิมสาก แล้วใครต่อใคริ่มเอ็นสะท้านกัีน…..ทำไมความทรงจำช่วงนี้หายไปฟะ ตอนแรกคิดว่าเข้าไปช่วยแค่ปีเดียว…..

  40. OH+ is Awesome Says:

    น้องเก๋ยังงี้ น้องหนึ่งอย่างงี้….ตั้ง 3 ปี
    ไอ้ยมมรึง…แบบมรึงเค้าเรียกว่าเลี้ยงต้อยว่ะ
    เหลิมสากนี่คุ้นๆ ว่ะ ความจำหล่นหาย หาไม่เจอพวกมรึงช่วยกรูเร้ว
    เซ็งปะเล็ด ไปอยู่อ่าวนางกับไอ้แจ๋นดีกว่า

  41. เอ Says:

    มาเลยโอ๋ ที่ร้านกำลังขาดเด็กเสิร์ฟพอดีว่ะ…….

  42. Ton-Pongphun Says:

    เอาไอ้โอ๋ ไปเป็นเด็กเสิร์ฟ เอ คงได้กลับมาหาอาชีพใหม่
    ที่กรุงเทพฯ แน่ๆ….

  43. hajimefuruto Says:

    เข้าใจว่าแจ๋นคงอยากกลับมากรุงเทพในเร็ววัน…….5555

  44. aekYotsiri Says:

    คุยกันมันส์จริง.! เพื่อนๆ จากจุด เริ่มต้นของอ.เมย์ในหนังสือฯ รายละเอียดบรรยากาศวันแข่ง.ได้น่าประทับใจ.เหมือน จดหมายเหต.ุ ดึจริงๆ

  45. จดหมายตรึมเลย 555

  46. สุดธิดา Says:

    ขอโน๊ตฟรุทเพลงพระราชนิพนธ์

    หน่อยค่ะ

    หามานานแล้ว


Leave a comment